โจทย์ยาก “จีน” กระตุ้นบริโภค ไม่ใช้จ่าย-เก็บออม 44% ของจีดีพี
โจทย์ยาก “จีน” กระตุ้นบริโภค ไม่ใช้จ่าย-เก็บออม 44% ของจีดีพี
Blog Article
จีนพยายามหันมาโฟกัสที่ภาคบริโภคในประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยพึ่งพาการส่งออก และการลงทุนภาครัฐเป็นหลัก แต่ด้วยวิกฤตสงครามการค้า วิกฤตอสังหาฯที่ยังตีโจทย์ไม่แตก ไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม การใช้จ่ายครัวเรือนเสมือนกลายเป็นทางออกเดียวที่รัฐบาลเหลืออยู่
จากการคำนวณของ Capital Economics พบว่า ยอดค้าปลีกในจีนมีขนาดใหญ่กว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐสูงถึง 10 เท่า ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องยาก หากจีนต้องผละจากการส่งออกไปยังสหรัฐ แล้วหันมาขับเคลื่อนภาคการบริโภคในประเทศแทน เมื่อมาตรการภาษีทำให้จีนไม่อาจพึ่งตลาดสหรัฐได้เหมือนเคย
จีนทยอยกระตุ้นการบริโภคในประเทศเรื่อยมาตั้งแต่กันยายน 2024 ผ่านการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ย เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืม และบรรเทาภาระหนี้สินครัวเรือน ลดอัตราเงินส่วนสำรอง (RRR) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ภาคธุรกิจ ทั้งยังสนับสนุนเงินรัฐบาลท้องถิ่น เร่งซื้อบ้านที่ขายไม่ออกมาปรับปรุงเป็นบ้านเพื่อสังคม
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีโครงการแจกเงินอุดหนุนผู้ด้อยโอกาสในสังคมอยู่เสมอตามช่วงเทศกาล และยังมีโครงการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การแจกเงิน เช่น โครงการ “สินค้าเก่าแลกซื้อสินค้าใหม่” ซึ่งช่วยอุดหนุนค่าใช้จ่าย 15-20% ของราคาสินค้า ให้ประชาชนซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และสมาร์ทโฟน
“โรรี กรีน” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคจีนจาก TS Lombard ชี้ว่า จีนเป็นตลาดที่มีปริมาณและมูลค่าใหญ่สุด สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ สมาร์ทโฟน ภาพยนตร์ และสินค้าแบรนด์หรู
อย่างไรก็ตาม ขนาดไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกถึงคุณภาพการบริโภค เนื่องจากการใช้จ่ายครัวเรือนจีนมีสัดส่วนเพียง 40% ของเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศอื่น ๆ การใช้จ่ายครัวเรือนมีสัดส่วนถึง 60% ของจีดีพี
เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงหวาดกลัวจากวิกฤตภาคอสังหาฯ ซึ่งระดับความเชื่อมั่นผู้บริโภคปัจจุบันยังคงต่ำกว่าระดับก่อนวิกฤตโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ และผู้บริโภคชาวจีนยังเน้นเก็บออม ระมัดระวังการใช้จ่าย ทั้งที่ที่ผ่านมาการบริโภคของจีนเติบโตอัตราทบต้นราว 9% ต่อปี ตลอดช่วงเวลา 20 ปี ก่อนวิกฤตโควิด-19
ทั้งนี้ มีเพียงคนรุ่นใหม่ที่ยังคงเดินหน้าบริโภคต่อไป โดย “เค่ออวี่ จิน” นักเศรษฐศาสตร์จาก The Hong Kong University of Science and Technology กล่าวว่า สินเชื่อผู้บริโภคส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้มีอายุต่ำกว่า 35 ปี โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Z และมิลเลนเนียล ที่ยังกล้าใช้จ่ายไปกับการเดินทาง ท่องเที่ยว และเกมออนไลน์
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่า จีนไม่สามารถพึ่งกลยุทธ์กระตุ้นการบริโภคได้ในระยะยาว แต่ต้องปฏิรูปนโยบายและเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเสริมรายได้ครัวเรือนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะสวัสดิการในสังคมที่มีอยู่อย่างน้อยนิด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ชาวจีนต้องออมเงินเพื่อเก็บไว้ เผื่อยากลำบากในวันข้างหน้า ด้วยสัดส่วนการออมจีน คิดเป็น 44% ของจีดีพี มากกว่าสหรัฐที่มีสัดส่วนการออมเพียง 19% ของจีดีพี ส่วนค่าเฉลี่ยโลกอยู่ที่ 27%
ทั้งนี้ จีนเริ่มมีการปฏิรูปสวัสดิการทางสังคมบ้างแล้ว แม้จะเพียงเล็กน้อย ผ่านการเพิ่มเงินเดือนข้าราชการ เพิ่มเงินสมทบประกันสังคม เพิ่มเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด แต่ก็ยังดูห่างไกลจากคำว่า “รัฐสวัสดิการ” ที่ สี จิ้นผิง ไม่นิยม เนื่องจากว่า รัฐบาลจีนยังเก็บภาษีเงินได้ได้เพียง 1% ของจีดีพี ซึ่งสวัสดิการจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่านั้นมาก สล็อต sawan888
ขณะที่ สี จิ้นผิง ต้องการผลักดันอุตสาหกรรมการผลิต และกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ (New Quality Productive Forces) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต แต่ BCA Research ระบุว่า จีนเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ยากแล้ว เพราะจะนำไปสู่การผลิตล้นเกิน และภาวะเงินฝืด
สุดท้ายแล้ว แม้จีนจะดำเนินมาตรการกระตุ้นการบริโภคต่อไป และประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การบริโภคจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ถ้าหากว่า แรงงานยังคงกังวลต่อคุณภาพความเป็นอยู่ ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต